เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๓ เม.ย. ๒๕๕๙

เทศน์เช้า วันที่ ๒๓ เมษายน ๒๕๕๙

พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

 

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เราตั้งใจฟังธรรมะเนาะ ธรรมะเพื่อเตือนสติเรา เราอยู่ในกระแสสังคมไง กระแสสังคมมันพัดพาเราไป โลกธรรม ๘ มีลาภเสื่อมลาภ มียศเสื่อมยศ โลกธรรม ๘ มันพัดพาเราตลอด ถ้าเรามีสติมีปัญญา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนไว้เอง “ภิกษุทั้งหลาย เธอจงพิจารณาสังขารด้วยความไม่ประมาทเถิด”

การพิจารณาสังขารมันได้สองอย่าง อย่างหนึ่งคือการพิจารณาสังขารร่างกายใช่ไหม แล้วก็พิจารณาสังขารคือสังขารความคิด ความปรุงความแต่ง “เธอจงพิจารณาสังขารด้วยความไม่ประมาทเถิด”

เรามีสติมีปัญญา เราไม่ประมาทไปกับเขา เราจะเป็นเหยื่อได้อย่างไร แต่ถ้าเราประมาทไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเตือนเอาไว้เลยนะ เราอย่าประมาทกับสังคม อย่าประมาทกับโลก เรามีสติมีปัญญาของเรา ถ้าเรามีสติมีปัญญาของเรา สติปัญญา ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ความรู้สึกมันรู้นะ ความดีก็คือความดีน่ะ ความดีมันจับต้องได้ มันรับรู้ได้ มองสายตาก็รู้ คนปรารถนาดีกับเรามันอบอุ่นนะ เวลาคนไม่ปรารถนาดีกับเราทำสิ่งใดขึ้นมาเพราะว่าหวังผลประโยชน์ทั้งนั้นน่ะ อันนี้คือผลประโยชน์ทางโลกนะ ไอ้ที่ผลประโยชน์ทางโลกมันเป็นวัตถุไง มันเป็นสิ่งที่สังคม สิ่งที่ระหว่างเราสื่อสารกัน

แต่เวลากิเลสตัณหาความทะยานอยากในใจมันคิดมา เราคิดดีทั้งนั้นน่ะ เพราะเราก็คิดของเรา แต่บางทีถ้าสติปัญญามันรู้ได้ว่าความคิดอย่างนี้มันชั่วร้าย มันทำไม่ได้ ทำไม่ได้ แต่มันก็จะฝืนทำๆ เพราะอะไร เพราะเราทนแรงความอยาก แรงตัณหาความทะยานอยากไม่ได้ไง ถ้าเราทนกับแรงตัณหาความทะยานอยากน่ะ

เราเกิดมาเพื่อความปรารถนาดี เราเกิดมาเพื่อคุณงามความดี คุณงามความดีเพราะอะไร เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาสอนให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์ใช่ไหม เราก็มีเป้าหมายว่าจะประพฤติปฏิบัติให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์

แล้วพฤติกรรมอย่างนี้มันเป็นการทุศีลน่ะ มันเป็นการทุศีลทั้งนั้นน่ะ ดูสิ ต้องมีศีล สมาธิ ปัญญา แล้วมันทุศีล ถ้ามันมาก็เป็นมิจฉา มิจฉาคือความคิดที่ผิดพลาด การกระทำที่ทำลายกัน ทำลายสังคมแหลกเหลวไปหมดเลย แต่ฉันคนดีคนเดียว ฉันลอยฟ่องอยู่บนสังคมนั้น นี่มันเห็นแก่ตัว ความเห็นแก่ตัวของคนคนหนึ่ง

คนคนหนึ่ง ดูสิ คุณงามความดีทำมาสิ หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านทำประพฤติปฏิบัติของท่านมา ท่านอยู่ป่าอยู่เขาของท่านมา คนแสวงหาจะทำบุญกับท่านต้องขวนขวายไปหาท่าน ต้องขวนขวายไปหาท่าน ไม่ใช่วิ่งเข้าไปหาเขา

นี่วิ่งไปหาเขา แล้วตัวเองก็ไม่มีความน่าเชื่อถือ ก็เอาความเชื่อถือของสังคม เอาความเชื่อถือของสงฆ์ เอาความเชื่อถือของครูบาอาจารย์มา แล้วครูบาอาจารย์ท่านทำคุณงามความดีของท่านมาตลอด

ดูสิ เวลาหลวงปู่มั่น เวลาท่านเจ็บไข้ได้ป่วยของท่าน ท่านเข้าป่าเข้าเขาไป กินข้าวต้มกับเกลือ หลวงตาท่านอุปัฏฐากหลวงปู่มั่นมา ท่านเห็นสภาพแบบนั้นมา ภาษาเรานะ มันฝังใจ มันฝังใจมากนะ ครูบาอาจารย์ของเรามีคุณ มีชื่อเสียงขนาดนี้ เวลานุ่งผ้าอาบก็ผ้าปะๆ ผุๆ อุตส่าห์ไปตัดผ้าใหม่ๆ มาให้เลย แล้วท่านเป็นคนพับผ้าเก็บผ้าให้ด้วย เวลาไปถึงท่านประท้วง ท่านไม่ยอมใช้เลย จนต้องเอาผู้อุปัฏฐากเข้ามา

หลวงตาท่านต้องไปสารภาพผิดเลยว่า ข้าพเจ้าคิดไม่ถึง ข้าพเจ้าคิดไม่ถึง ข้าพเจ้าก็คิดว่าหลวงปู่มั่นเป็นอาจารย์ของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็เชิดชูของข้าพเจ้า หลวงปู่มั่นมีชื่อเสียงคับฟ้า แล้วมานุ่งผ้าห่มผ้าปะๆ ชุนๆ ไอ้ลูกศิษย์มันทนไม่ไหวนะ ก็เลยไปตัดผ้าให้ ย้อมให้นะ แล้วเปลี่ยนให้ท่าน ท่านไม่ยอม เห็นไหม ต้องไปขอสารภาพ

แล้วดูสิ หลวงตาท่านอยู่กับหลวงปู่มั่นมา หลวงปู่ลีท่านก็อยู่กับหลวงตามา คำว่า อยู่กับหลวงตามา” มันได้ฟูมฟักอย่างนี้มา มันฟูมฟักคือมันลงใจไง ใจมันลงใจ มันฟูมฟัก ดูพฤติกรรม เราพูดประจำ เราอยู่กับครูบาอาจารย์มา ครูบาอาจารย์ท่านมีพฤติกรรมอย่างนี้ไหม ถ้าท่านไม่มีพฤติกรรมอย่างนี้ พฤติกรรมอย่างนี้ แล้วลูกศิษย์ลูกหาก็ไปเรียกร้องกันว่ามรดกธรรมๆ

มรดกอะไรน่ะ เพราะพฤติกรรมของท่านไม่เป็นแบบนี้ ท่านไม่ต้องการแบบนี้ ท่านต้องการความเรียบง่ายของท่าน แล้วความเรียบง่าย ความเรียบง่ายมันก็เป็นธรรมๆ ใช่ไหม สูงสุดสู่สามัญ แต่ไอ้พวกกิเลสตัณหาความทะยานอยากมันก็ต้องฟู่ฟ่าฟุ่มเฟือย แล้วจะไปทำอย่างนั้น แล้วก็อ้างไปตลอด นี่ไง เวลากิเลสตัณหาความทะยานอยากมันทิ่มแทงหัวใจขึ้นมาแล้ว ตัวเองก็ไม่มีศรัทธา ไม่มีความน่าเชื่อถือ ถ้าไปอ้าง เอาธรรมของตัวเองไปสิ ของตัวเองมีปัญหาก็ทำของตัวเองไป ตัวเองก็ทำอะไรไม่ได้ ตัวเองไม่มีความน่าเชื่อถือพอ ไม่มีความน่าเชื่อถือพอก็มาอ้างอิงกันไป

“เธอจงพิจาณณาสังขารด้วยความไม่ประมาทเถิด” ความคิด ความปรุง ความแต่งอันนั้นน่ะ ความคิด ความปรุง ความแต่ง ดูสิ หลวงปู่ลี หลวงตา ท่านอยู่กับครูบาอาจารย์มา อยู่กับครูบาอาจารย์มา พฤติกรรมของท่านเป็นอย่างไร คำว่า แค่พฤติกรรมนะ” พฤติกรรมมันออกมา ดูสิ สอุปาทิเสสนิพพาน พระอรหันต์ที่ยังมีชีวิตอยู่ พฤติกรรม เศษส่วนอันนั้นที่มันออกมา แต่คุณธรรมอันนั้นสูงส่งกว่านั้นอีกนะ นี่ไง ธรรมแท้ๆ แสดงตนออกมาไม่ได้ แสดงออกมามันต้องผ่านสมมุติบัญญัติ ภารา หเว ปญฺจกฺขนฺธา ขันธ์ รูป เวทนา สังขาร วิญญาณ

เวลาครูบาอาจารย์ท่านบอกว่าขันธ์มันแสดงตัว ขันธ์มันแสดงตัวคือมันสิ่งที่ให้เราจับต้องได้ สมมุติบัญญัติให้เราสื่อสารได้ แต่ตัวธรรมจริงๆ มันอยู่ไหน ตัวธรรมจริงๆ มันยังสูงส่งกว่านั้น แล้วพฤติกรรมที่ท่านแสดงออกมา หัวใจของท่านสูงส่งกว่านี้ไง แล้วท่านแสดงพฤติกรรมมาอย่างนี้ แล้วลูกศิษย์ลูกหาที่มีความเคารพนับถือ เขาเรียกลงใจๆ ถ้าใจมันลงครูบาอาจารย์แล้วนะ มันไม่คิด คำสั่งคำสอน เห็นไหม

ดูสิ เวลาโครงการช่วยชาติฯ เราพูดประจำ ท่านนำหน้าอยู่น่ะ เราปล่อยให้ผู้เฒ่าผู้แก่ลากซี่โครงอย่างนั้นหรือวะ แล้วพวกเรามานิ่งดูดายกันหรือ ถ้าพวกเราไม่นิ่งดูดาย เราก็ต้องช่วยเหลือเจือจานท่าน ช่วยเหลือท่าน เพราะอะไร เพราะน้ำข้าวที่เราได้กินได้อยู่อาศัยมามันมียาง เราระลึกถึงคุณของท่าน ท่านออกมาตรากตรำ เราก็ออกมาช่วยเหลือเจือจานกัน

แต่เขาว่าไม่ได้ มันระบบเศรษฐกิจ มันเป็นเรื่องโลก มันไม่ใช่ธรรม ถ้าเป็นธรรมนะ ต้องประพฤติปฏิบัติ มันไม่ใช่กิจของสงฆ์ โอ๋ย! ปัญญาเยอะ คิดมาก ปัญญาใหญ่

แต่ของพวกเรา เราเชื่อถือศรัทธา ท่านเดินนำหน้า เราก็เดินตาม เดินตามเพราะเราเชื่อคุณธรรมในใจของท่าน ท่านเดินไปไหน เราก็เดินตาม แล้วเราก็ทำตามท่านไป เราทำตามท่าน ทำตามท่าน ไม่ต้องคิด นี่ลงใจ ถ้าลงใจแล้วมันจบ มันจบ เพราะเราเชื่อคุณธรรมอันนั้น เราเชื่อคุณธรรมในหัวใจของท่าน ถ้าเราเชื่อในคุณธรรมในหัวใจของท่าน ท่านพิจารณาแล้ว

ท่านพูดประจำว่า ท่านได้พิจารณาแล้ว ท่านถึงได้ออกมาโครงการช่วยชาติฯ ท่านพิจารณาแล้วท่านถึงได้พาพวกเราออกขวนขวาย ท่านได้พิจาณาแล้ว ท่านได้พิจารณาแล้ว ถ้าลงใจนี่มันจบ

มันไม่ลงใจน่ะ ไม่ลงใจ ท่านทำอะไรนะ โอ้โฮ! เอาไปวิเคราะห์วิจัย แล้วปัญญาหางอึ่งอย่างนี้วิเคราะห์วิจัยเรื่องอะไร วิเคราะห์วิจัยก็กิเลสมันทิ่มมันตำนี่ไง เอามาวิเคราะห์วิจัย โอ๋ย! มันถูกต้องไม่ถูกต้อง โอ้โฮ! ปัญญาเยอะ คนเก่ง นี่คือการกีดขวาง นี่จิตใจที่มันไม่ลง จิตใจไม่ลงมันเป็นแบบนั้น

จิตใจที่มันลงนะ เราเชื่อคุณธรรมอันนั้น ถ้าคุณธรรมอันนั้นน่ะพาเราไป มันจะไปไหน เห็นไหม ฉะนั้น เวลาท่านพาดำเนินมา ถ้าพาดำเนินไป เราเดินตามนั้นน่ะ ง่ายๆ เลย เดินตามนั้นๆ น่ะ แต่ใจมันไม่ลง มันไม่มีใครเดินตาม ถึงเดินตามก็เดินตามห้าสิบ ครึ่งๆ กลางๆ

แต่ถ้าพูดถึงหลวงปู่ลีท่านลงทั้งหัวใจ ลงทั้งหัวใจ เราก็ลงทั้งหัวใจ แต่เรามันคนอนาถา เราไม่มีอำนาจวาสนาขนาดนั้นที่จะไปแบกรับภาระอันใหญ่โตอย่างนั้น เราลงใจของเรา ถ้าเป็นเรื่องนามธรรม เป็นเรื่องหัวใจ เป็นเรื่องความเชื่อถือ สละได้แม้แต่ชีวิต สละได้ แต่ถ้าพูดถึงเอาวัตถุ เอาสิ่งของที่จะไปเกื้อกูลกัน เรามันอนาถา เรามันไม่มี ๑. ไม่มี ๒. ไม่แสวงหา เพราะการแสวงหาของเรา คือการแสวงหาแล้วมันมีคุณ ถ้าใครมีคุณแล้ว กตัญญูกตเวที จิตใจของเรามันจะต้องฝักใฝ่ตลอดไป ฉะนั้น การดำเนินศีลธรรมมันจะติดขัด นี้ในความรู้สึกของเรา

แต่ในความรู้สึกของเรา เราถึงช่วยเต็มที่ ช่วยเต็มที่ ทั้งเกี่ยวกับชีวิต เกี่ยวกับความสมบัติของเราทั้งหมด แต่จะให้เราขวนขวายเพื่อวัตถุจากบุคคลคนอื่น เราทำไม่ได้ เราทำไม่ได้ ถ้าเขามีคุณกับเราแล้วมันจะมีคุณไปทั้งชีวิต เราไม่เคยไปเอ่ยปากกับใครทั้งสิ้น ไม่เคยยุ่งกับใครทั้งสิ้น แต่ชีวิตนี้พลีให้ได้ นี่พูดถึง นี่ในความเห็นของเราไง

เราจะบอกว่า เวลาเชิดชูหลวงปู่ลี เชิดชูครูบาอาจารย์ เชิดชูเขา ตัวเองก็หมาตัวหนึ่งเหมือนกัน ตัวเองก็ไม่มีความสามารถอะไรหรอก ไม่มีความสามารถ แต่เพราะมันมีอุดมการณ์ แต่ใจมันลงไง มันลงที่หัวใจดวงนั้นไง ถ้าใจดวงนั้นมันลง มันใจลงอันนั้น ฉะนั้น สิ่งที่ใจมันจะลง มันต้องอยู่ด้วยกัน มันต้องประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เห็นไหม

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธัมมจักฯ มีพระอัญญาโกณฑัญญะมีดวงตาเห็นธรรม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปลื้มใจมาก “อัญญาโกณฑัญญะรู้แล้วหนอ อัญญาโกณฑัญญะรู้แล้วหนอ” ผู้รู้ผู้เห็นที่เหมือนกันในหัวใจดวงนั้น ถ้าสิ่งอย่างนั้นน่ะ อันนั้นน่ะที่มันจะลงใจ มันจะลงใจตรงนั้นไง

นี่ไง ธรรมอันนั้นที่สูงส่งๆ ประพฤติปฏิบัติขึ้นไป ถ้ามันมีความติดขัด ทำสมาธิไมได้ ยกขึ้นวิปัสสนาไม่เป็น วิปัสสนาไปแล้วมันติดขัด ถ้ามันเป็นนามธรรม มันเป็นเรื่องความในใจของเรา มันเป็นเรื่องศีล สมาธิ ปัญญาในใจของเรา มันเป็นความลับของคนอื่นอยู่แล้ว แต่เวลาเราไปหาท่าน ท่านแก้ไขเรา ท่านปลดเปลื้องเรา ท่านทำให้เราไปได้ นี่ไง คุณธรรมอันนั้นมันยืนยันไง

ถ้าท่านไม่มีคุณธรรมอันนั้น ท่านไม่รู้สิ่งนั้นน่ะ ความคิดความเห็นของเราเวลามันเกิดมรรคเกิดผลในใจของเราน่ะ มันมีใครรู้กับเรา เรารู้ของเราคนเดียว แล้วเรารู้ของเราคนเดียว เราก็แบกรับ แบกไอ้ความสงสัยของเรา แบกปัญหาของเราไปถามท่านน่ะ ไปถามท่าน แล้วท่านตอบเราได้ ท่านตอบเราไม่ได้ตอบเราได้ธรรมดานะ ท่านตอบแล้วท่านยังท้าทายอีกนะว่า ทางเดินจะเป็นอย่างนั้นๆ ทางมันจะเป็นขั้นเป็นตอนขึ้นไป บุคคล ๔ คู่ ท่านชี้นำเราแล้ว ท่านบอกเราแล้ว แล้วเราประพฤติปฏิบัติไป

ประพฤติปฏิบัติไป เห็นไหม ดูสิ เวลาหลวงตาท่านประพฤติปฏิบัติท่านถึงที่สุดแห่งทุกข์ กราบแล้วกราบเล่า ภิกษุหนุ่มๆ องค์หนึ่งกราบแล้วกราบเล่า กราบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันกราบเพราะอะไรล่ะ มันกราบเพราะใจดวงนั้นเวลาประพฤติปฏิบัติไปแล้วมันรู้มันเห็น

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกไม่มีกำมือในเรา แบตลอด ธรรมะมันแบตลอดไง

แต่กิเลสตัณหาความทะยานอยากในหัวใจของคนมันปิดบังไง มันไม่มีเครดิต มันไม่มีความรู้ของมัน มันอยากใหญ่อยากโต มันแอบอ้างของมัน แต่มันแอบอ้างด้วยความมืดบอด แอบอ้างด้วยกิเลสตัณหาความทะยานอยากไง

แต่ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติไปน่ะ มันสว่างโพลงในกลางหัวใจ มันเปิดเผย มันแจ่มแจ้ง มันแจ่มแจ้งขึ้นมา เป็นมรรคเป็นผลขึ้นมา มันรู้มันเห็นของมันน่ะ ถ้ามันรู้มันเห็นของมันขึ้นมา สัจจะความจริงอันนั้นน่ะ ธรรมอันนั้นที่มันสูงส่ง ธรรมอันนั้นๆ ถ้าธรรมอันนั้นมันเป็นธรรมอันเดียวกันน่ะ

นี่ไง เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นไป อยู่กับครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์ท่านแก้ไขกันมาอย่างนั้นน่ะ ถ้าแก้ไข ธรรม สัจธรรมอันนี้ ถ้ามันเชื่อสัจธรรมอันนี้ไง ถ้ามันเชื่อสัจธรรมอันนี้ มันจะเป็นอื่นไปไม่ได้ไง มันเป็นอื่นไปไม่ได้ ดูสิ เวลามันจะคิดมันจะทำอะไรของมัน สติมันพร้อม มันจะเสวย คือมันแสดงตัว แสดงตัวที่เราจะมาคุยกันนี่ไง

อาหาร ๔ กวฬิงการาหาร วิญญาณาหาร ผัสสาหาร มโนสัญเจตนาหาร มโน มโนน่ะ มโนวิญฺญาเณปิ นิพฺพินฺทติ มโนสมฺผสฺเสปิ นิพฺพินฺทติ มโนก็ได้ทำลายไปแล้ว ภวาสวะ ภพ ตัวจิต ได้ทำลายไปแล้วน่ะ

มโนวิญฺญาเณปิ นิพฺพินฺทติ มโนสมฺผสฺเสปิ นิพฺพินฺทติ มโนก็ทำลายแล้ว ความสัมผัสของใจก็ทำลายแล้ว ความรู้ความเห็นจากใจก็ทำลายแล้ว มันทำลายไปแล้วมันไม่มีน่ะ ธรรมอันนั้นมันถึงไม่มีที่ตั้ง ธรรมอันนั้นมันถึงสูงส่งไง แต่เวลาแสดงออก มโนสัญเจตนาหาร มโนสัญเจตนาหาร สติมันพร้อมมา แล้วท่านแสดงออกมาด้วยสติด้วยปัญญาของท่านน่ะ

นี่แค่พฤติกรรม พฤติกรรมที่ความเป็นอยู่ของท่าน ถ้าเราอยู่กับท่าน เราอยู่กับท่าน เราก็เข้าใจได้แล้วว่าอันนี้ชอบหรือไม่ชอบ ไอ้ความไม่ชอบคือมันเข้ากันไม่ได้ ไอ้ความชอบนี่พฤติกรรมเฉยๆ นะ

แต่เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นไป สิ่งที่พฤติกรรม ศรัทธาคือความเชื่อ ความเชื่อ ศรัทธาความเชื่อเป็นหัวรถจักร ถ้าใครมีศรัทธามีความเชื่อ หัวรถจักรนั้นมันจะชักกระบวนการความคิดของใจเข้ามา เพราะศรัทธาความเชื่อมันจะดึงหัวใจเข้ามา ถ้าหัวใจเข้ามาแล้ว หัวใจมาศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศรัทธามันชักนำเข้ามา เป็นหัวรถจักรดึงเข้ามา ดึงกระบวนการความคิด ดึงกระบวนการในใจของเราเข้ามา ให้มาศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศรัทธาอันนั้นแก้กิเลสไม่ได้ แต่ศรัทธาอันนั้นเป็นอริยทรัพย์ เป็นอริยทรัพย์ของปุถุชนที่มันจะดึงกระบวนการความคิด มันจะดึงหัวใจเราเข้ามาเพื่อศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลามันจะแก้ไขกิเลสกันน่ะ มันจะเป็นมรรคญาณ มันจะเป็นศีล สมาธิ ปัญญาในหัวใจอันนั้นไง

ศรัทธาแก้กิเลสไม่ได้ แต่ศรัทธาเป็นตัวชักนำมา มีศรัทธาแล้วมันต้องเป็นสัมมาทิฏฐิ มันมีสติปัญญาขึ้นมา มันแยกแยะของมันเพื่อประโยชน์กับมัน เพื่อประโยชน์กับใจดวงนี้ไง ถ้าใจดวงนี้มันเป็นประโยชน์ขึ้นมา มันแยกมันแยะของมันขึ้นมา นั่นไง ธรรมเหนือโลกๆ อันนั้นน่ะ

กุปปธรรม อกุปปธรรมนะ เวลากุปปธรรม สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา โดยธรรมชาติทั่วไป เราเป็นสาวกสาวกะได้ยินได้ฟังธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็สอนสพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา ธรรมะเป็นอนัตตา แต่เวลามันเป็นอกุปปธรรม มันไม่อนัตตา ไม่อนัตตาเป็นอย่างไรล่ะ ถ้าคนที่ประพฤติปฏิบัติไม่ถึงอกุปปธรรมจะไม่เข้าใจว่าอะไรเป็นอนัตตา อะไรไม่เป็นอนัตตา มันพ้นจากอนัตตาและอัตตาไป มันพ้นจากอนัตตาและอัตตาไปอย่างไร

ฉะนั้น เวลาสิ้นสุดกระบวนการของมันน่ะ มันเป็นพระไตรลักษณ์ๆ นี่เป็นอนัตตา ความเป็นอนัตตา มันเป็นอนัตตามันก็แปรปรวนของมันตลอดไป เวลาคนที่ศึกษามาโดยที่เป็นปุถุชนก็ละล้าละลัง ก็ยังต้องยึดมั่นถือมั่น ยังต้องเกาะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปก่อน เกาะธรรมวินัย เกาะทฤษฎี เกาะความเห็นนี้ไปน่ะมันถูก แต่เวลาคนที่เขาเป็นไปแล้วเขาเป็นอย่างนั้น มันก็ต้องวิเคราะห์วิจัยได้ มันต้องพิสูจน์ได้ พอมันพิสูจน์ได้นะ อันนั้นเป็นธรรมเหนือโลก

นี่ไง ถ้าใจมันลง ใจมันลงนะ ใจมันลงธรรมอันนั้น ธรรมในใจของครูบาอาจารย์ที่ท่านประพฤติปฏิบัติมาน่ะ ได้ธรรมในใจของครูบาอาจารย์ที่ประพฤติปฏิบัติมา ดูสิ เวลาหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น หลวงปู่เสาร์ท่านบอกท่านปฏิบัติให้ดู หลวงปู่มั่นท่านสั่งท่านสอน ดูสิ ด้วยจริตนิสัยด้วยอำนาจวาสนาของจิตแต่ละดวงที่มันมีกำลังมากน้อยแค่ไหน ที่มันเป็นประโยชน์แค่ไหน ฉะนั้น ผู้ที่สิ้นกิเลสไปแล้ว ครูบาอาจารย์ที่ท่านสิ้นกิเลสไปแล้ว ท่านจะวางตัวท่านสะดวกสบายของท่านนั่นก็อีกเรื่องหนึ่งไง แต่หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านเป็นคติแบบอย่าง

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า “กัสสปะเอย เธอก็อายุปานเรา ๘๐ เหมือนกัน เป็นพระอรหันสต์เหมือนกัน ทำไมต้องถือธุดงควัตรอีก”

พระกัสสปะเป็นเลิศในทางธุดงควัตร นี่ไง ท่านเป็นเอตทัคคะในทางธุดงควัตร นี่ไง เวลาถามอย่างนั้นน่ะ

“ข้าพเจ้าไม่ได้ทำเพื่อข้าพเจ้า ข้าพเจ้าทำเพื่ออนุชนรุ่นหลังไง เพื่ออนุชนรุ่นหลังได้เป็นคติ ได้เป็นแบบอย่าง ได้เอานี่เป็นเครื่องดำเนิน”

นี่ก็เหมือนกัน หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านอุทิศชีวิตของท่านน่ะ ท่านจะอยู่สุขสบายของท่านก็ได้ เวลาคนสิ้นกิเลสไปแล้วมันจะมีกิเลสอะไรในใจ มันวิมุตติสุข มันสุขตลอด แต่ท่านอุทิศๆ อุทิศทำตัวเป็นแบบอย่าง เห็นไหม ดูสิ กองทัพธรรม กองทัพธรรมวางมา มันถึงเป็นอำนาจวาสนาของประเทศไทยไง เพราะประเทศไทยมีพระอริยบุคคลขนาดนี้ มีหลักมีชัยขนาดนี้ แล้ววางรากฐานเอาไว้ให้พระกรรมฐานเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา

ถ้าท่านไม่วางรากฐานไว้น่ะ เราไปทำอะไร กิเลสมันยุในใจเดี๋ยวก็ล้มแล้ว จะทำอะไรกิเลสมันทิ่มมันตำหน่อยเดียว กลิ้ง ไปไม่รอดหรอก นี่ด้วยอำนาจวาสนาไง

แต่ท่านสละไว้ ท่านทำเป็นแบบอย่างตั้งแต่เริ่มต้น ท่ามกลางและที่สุด นี่ไง มันถึงเป็นอำนาจวาสนาของประเทศไทยไงว่าประเทศไทยมีเอกบุรุษ มีผู้เกิดมาแล้วทำคุณประโยชน์ ทำคุณประโยชน์ตรงไหน ทำคุณประโยชน์ด้วยธรรม ธรรมคือเข้าไปสมานในหัวใจของสัตว์โลกไง ธรรมคือสัจธรรมในหัวใจไง

เราแสวงหาความสุขๆ กัน แสวงหามาก็เป็นปัจจัยเครื่องอาศัย แสวงหาสิ่งใดมาก็แสวงหามาเพื่อสนองกิเลสตัณหาความทะยานอยาก ไม่มีใครสิ่งใดแสวงหามาเพื่อความสุข ความสงบ ความระงับในใจเลย แล้วหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านทำของท่านขึ้นมา คนที่ถือผีถือสางต่างๆ ท่านก็ละทิ้งทิฏฐิความเห็นของตน แล้วมานับถือพระพุทธศาสนา พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นรัตนตรัย เป็นที่พึ่ง มันทำให้ชาติได้ประหยัดในการใช้จ่ายในพิธีกรรมต่างๆ สิ้นเปลืองไปโดยไม่เป็นประโยชน์ เอาสิ่งนั้นมาบำรุงชาติ บำรุงศาสนาไง แล้วสิ่งความเป็นอยู่ของตนก็เข้มแข็งขึ้นมาไง เพราะอะไร เพราะไม่ลุ่มหลงไปนอกศาสนาไง ทำให้ชาติมั่นคง ทุกอย่างมั่นคง เอกบุรุษ ได้ทำเพื่อชาติ เพื่อศาสนา เพื่อพระมหากษัตริย์ แล้วก็สั่งสอนลูกศิษย์ลูกหามา

ดูสิ หลวงตาท่านก็อีกรอบหนึ่ง ท่านมาโครงการช่วยชาติฯ ก็ทำเพื่อชาตินั่นล่ะ แต่ไอ้พวกหมาขี้เรื้อนมันก็มาเกาะก็อาศัย เรื่องธรรมดา เป็นธรรมดา ทุกสังคมก็มีคนดีและคนเลวปนกันอยู่ ทีนี้คนดีกับคนเลวปนกันอยู่ ทีนี้ไอ้พวกผู้ดีมันไม่กล้าพูดไง คนไอ้พวกพูด พูดไปแล้วมันจะเสียเครดิต ไอ้พวกผู้ดีเก็บเงียบเชียว ไอ้พวกหมาขี้เรื้อนมันก็เห่าก็หอนไง

สุดท้ายแล้ว ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ผลมันออกมาเอง ออกมาด้วยการกระทำ การกระทำนั้นมันเปิดเผยขึ้นมาเอง การกระทำนั้นมันฟ้องตัวมันเอง ถ้าการกระทำนั้นฟ้องตัวมันเอง

ฉะนั้น เราต้องพูดว่า เพื่อความสมาน เพื่อความมั่นคงของเรา เราต้องมีจุดยืน เห็นไหม ธรรมะประกาศตนแล้วล่ะ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว แล้วเราเองเราก็ต้องรักษาหัวใจของเรา รักษาหัวใจของเรานะ

“เธอจงพิจารณาสังขารด้วยความไม่ประมาทเถิด”

รักษาหัวใจ รักษาความคิดของเราให้จิตใจเรามั่นคง อย่าแกว่ง อย่าเหลวไหลไง ไม่ใช่เห็นแต่ความเลวทรามต่างๆ แล้วเราก็ไม่เอาแล้วเว้ย ไม่เอาแล้วเว้ย ไม่เอาก็เท่ากับทอดทิ้งหัวใจ ไม่เอาก็เท่ากับทอดทิ้งศีล สมาธิ ปัญญาของเรา ไม่เอาก็เท่ากับทอดทิ้งหัวใจที่มันจะพัฒนาขึ้นให้มันมีจุดยืนขึ้น

แต่เดิมเรามีครูบาอาจารย์ที่เป็นหลักเป็นชัย เราก็เกาะครูบาอาจารย์เป็นที่พึ่ง ตอนนี้ครูบาอาจารย์ของเราท่านนิพพานไปหมดแล้ว ท่านล่วงไปหมดแล้ว นี้มันก็เหลือหมู่คณะ เหลือพระที่ได้มาจัดการกัน เราก็รักษาหัวใจของเราด้วยสติปัญญาของเรา เปิดตากว้างๆ เปิดหูกว้างๆ ฟังแล้วคิด กาลามสูตร อย่าเพิ่งเชื่อ แล้วเรารักษาของเราเพื่อประโยชน์กับใจดวงนี้นะ ประโยชน์กับใจดวงนี้

ใจนี้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ แล้วมันมาเกิดเป็นเราอยู่นี่ แล้วเกิดมาในท่ามกลาง เอกบุรุษ หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น หลวงตา ครูบาอาจารย์ของเรา ท่านผ่านไปแล้ว ท่านผ่านไปแล้ว ทำประโยชน์ไปแล้ว เป็นอดีตไปแล้ว เป็นประวัติศาสตร์แล้ว นี่เป็นปัจจุบัน แล้วอนาคตมันจะตามมา แต่เราต้องรักษาชีวิตของเราเพื่อประโยชน์กับชีวิตนี้ เอวัง